รู้ก่อนใช้ AHA/BHA ต่างกันอย่างไร ? ควรเลือกใช้ตัวไหนให้เหมาะกับผิว!
- Innovation Beauty
- Jun 4, 2024
- 2 min read

สาว ๆ หลายคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับกรดผลัดเซลล์ผิว หรือ AHA/BHA กันมาบ้างแล้ว แต่ทราบหรือไม่ว่า กรดทั้งสองชนิดนี้ มีกลไกการทำงานที่ต่างกัน และเหมาะกับสภาพผิวที่แตกต่างกัน
บทความนี้ จะมาไขข้อสงสัยให้สาว ๆ ได้เข้าใจความแตกต่างระหว่าง AHA และ BHA อย่างละเอียด พร้อมทั้งแนะนำวิธีเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิว เพื่อผลลัพธ์ผิวสวยใสไร้ปัญหา!
เลือกหัวข้อที่สนใจอ่านตามด้านล่าง
AHA และ BHA คืออะไร? มาทำความรู้จักกันก่อน
Alpha Hydroxy Acid (AHA) เป็นสารเคมีกลุ่มอัลฟ่าไฮดรอกซี่ มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ สามารถละลายได้ดีในน้ำ โดยทั่วไป AHA ช่วยลดการสะสมของเซลล์ผิวที่ตาย และกระตุ้นการผลัดเซลล์ใหม่ขึ้นมา ทำให้ผิวหน้าดูสดใส ละเอียดเนียน และมีสุขภาพดีขึ้น
กรดในAHA มีอะไรบ้าง
กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) สกัดจากอ้อย มีโมเลกุลเล็กที่สุด ซึมลึกสู่ผิวได้ดี ผลัดเซลล์ผิวได้เร็ว เหมาะกับผิวมัน ผิวที่มีริ้วรอย
กรดแลกติก (Lactic Acid) สกัดจากนมเปรี้ยว มีฤทธิ์อ่อนโยน เหมาะกับผิวแพ้ง่าย ผิวแห้ง
กรดมาลิก (Malic Acid) สกัดจากแอปเปิ้ล มะนาว มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ เหมาะกับทุกสภาพผิว
กรดซิตริก (Citric Acid) สกัดจากมะนาว ส้ม มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว ปรับสีผิวให้สว่างใส เหมาะกับทุกสภาพผิว
กรดทาร์ทาริก (Tartaric Acid) สกัดจากองุ่น มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว กระชับผิว เหมาะกับทุกสภาพผิว
Beta Hydroxy Acid (BHA) สารประกอบหลัก คือ กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) โดยทั่วไป BHA ช่วยลดการสะสมของน้ำมันที่ติดอยู่ในรูขุมขน และช่วยลดการอุดตันของแบคทีเรีย ทำให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดสิว นอกจากนี้ BHA ยังมีคุณสมบัติในการช่วยลดการอักเสบของสิว และลดการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขนได้
ความเหมือนของ AHA และ BHA
ผลัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ที่สุขภาพดีขึ้น
ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอขึ้น เช่น รอยสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ
ผิวรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยต่างๆ ดูจางลง
ช่วยกระตุ้นการทำงานของคอลลาเจน
ความแตกต่างของ AHA และ BHA
AHA (Alpha Hydroxy Acids) มีความเข้นข้นสูง มีฤทธิ์ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอได้ดีกว่า เหมาะที่จะใช้หลังจากถูกแดดทำร้ายในแต่ละวันเพื่อกู้สีผิวให้สม่ำเสมอขึ้น และใช้ลดเลือนริ้วรอยต่างๆให้จางลง
BHA (Beta Hydroxy Acids) มีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรีย จึงเหมาะที่จะเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ของผู้มีผิวเป็นสิว ช่วยลดความมันบนใบหน้า และทำความสะอาดสิ่งอุดตันต่างๆบนรูขุมขน ทำให้รู้ขุมขนกระชับขึ้น
คุณสมบัติของ AHA และ BHA

AHA กับ BHA เหมาะกับผิวแบบไหน ?

ความเข้มข้นของ AHA เเละ BHA
ความเข้มข้นของ AHA ทั่วไปอยู่ที่ 5% ถึง 20%
5-10%: เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย ผิวเริ่มต้นใช้ AHA
10-15%: เหมาะสำหรับผิวทั่วไป ผิวเริ่มคุ้นเคยกับ AHA
15-20%: เหมาะสำหรับผิวที่ต้องการผลัดเซลล์ผิวอย่างล้ำลึกให้ผิวระคายเคือง
ความเข้มข้นของ BHA ทั่วไปอยู่ที่ 0.5% ถึง 2%
0.5-1%: เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย ผิวเริ่มต้นใช้ BHA
1-2%: เหมาะสำหรับผิวทั่วไป ผิวเริ่มคุ้นเคยกับ BHA
2%: เหมาะสำหรับผิวมัน ผิวที่มีสิวอุดตัน สิวหัวดำ
AHA ไม่ควรใช้คู่กับอะไร
BHA เพราะทำให้ผิวยิ่งแห้งลอกง่าย ไม่แข็งแรง
Vitamin C เพราะทำให้ผิวเสียสมดุล ได้คุณค่าจากส่วนผสมได้ไม่เต็มที่
Vitamin B3 เพราะทำให้วิตามิน บี3 ทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร
เรตินอล (Retinol) ทำให้เกิด รอยแดง แสบร้อน ลอก
เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) การใช้ AHA ร่วมกับเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ อาจทำให้ผิว แห้ง ผิวสูญเสียน้ำ
BHA ไม่ควรใช้คู่กับอะไร
AHA เพราะทำให้ผิวยิ่งแห้งลอกง่าย ไม่แข็งแรง
Vitamin C เพราะทำให้ผิวเสียสมดุล ได้คุณค่าจากส่วนผสมได้ไม่เต็มที่
เรตินอล (Retinol) การใช้ร่วมกับ BHA อาจทำให้ผิวระคายเคือง แสบแดง ลอก
เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) การใช้ร่วมกับ BHA อาจทำให้ผิวแห้ง ลอก ระคายเคือง
AHA และ BHA ใช้คู่กับอะไรได้ดี
AHA และ BHA ใช้ได้ดีกับ Ceramide เพราะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ผิว ลดการระคายเคือง ล็อกความชุ่มชื้น ลดการอักเสบของผิว และที่สำคัญควรใช้ครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกแดดเพื่อปกป้องผิวจากการโดนแดดทำร้าย เพราะการใช้กรดมีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว มักทำให้ผิวบอบบาง และไวต่อแสงแดด
AHA ควรใช้อย่างไร และเมื่อไหร่
หากมีปัญหาริ้วรอย จุดด่างดำ ผิวหมองคล้ำ ฝ้า กระ แนะนำให้ใช้ AHA หากเป็นคนที่ผิวแพ้ง่ายควรใช้ AHA เพียง 1 ครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้น ส่วนสภาพผิวอื่นๆ ควรใช้ทุก ๆ 2 วัน และที่สำคัญควรใช้เฉพาะกลางคืน และอย่าลืมทาครีมกันแดดเป็นประจำเพื่อป้องกันการผลัดเซลล์ผิวในระหว่างวันด้วยนะคะ
BHA ควรใช้อย่างไร และเมื่อไหร่
สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี BHA ได้ทุกวัน แต่ปริมาณการใช้ BHA จะแตกต่างไปตามสภาพผิว หากมีผิวบอบบางแพ้ง่าย การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Salicylic acid 0.5% ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ส่วนสภาพผิวอื่นๆ จะเลือกใช้แบบ 2% หรือมากกว่านั้นก็ได้ และเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวถูกทำร้ายจากแสงแดดได้ง่ายขึ้นก็แนะนำให้ใช้ช่วงกลางคืน และอย่าลืมทาครีมกันแดดในตอนเช้าร่วมด้วยนะคะ
Comments